เคยได้ยินกันไหมว่า ในสมัยพ่อแม่ของเราเป็นเด็ก หรือในสมัยของคุณยาย เขาเคยซื้อก๋วยเตี๋ยวกันชามละบาท ขนมชิ้นละไม่กี่สลึง แต่ในปัจจุบันเราโตมาโดยคุ้นชินกับข้าวกะเพราไข่ดาวราคาจานละ 40-50 บาทแล้ว ทำไมค่าใช้จ่ายในยุคเรากับยุคคุณยายต่างกันขนาดนั้น สิ่งนี้เป็นปรากฏการณ์ที่เรียกว่าเงินเฟ้อนั่นเอง นั่นหมายความว่าในอนาคตเรามีโอกาสที่จะได้ซื้อก๋วยเตี๋ยวชามละร้อยบาท น้ำดื่มขวดละร้อยบาทก็เป็นได้ การวางแผนทางการเงินโดยคำนึงถึงเรื่องเงินเฟ้อเอาไว้ประกอบการตัดสินใจด้วยจึงเป็นสิ่งสำคัญ
เงินเฟ้อเกิดขึ้นได้อย่างไร ทำไมจึงเฟ้อต่อไปได้อีกในระยะยาว
หากอธิบายเงินเฟ้ออย่างง่ายที่สุดก็คือ การที่อำนาจซื้อของเงินลดลงอย่างต่อเนื่อง ตามระยะเวลาที่ผ่านไป ทำให้สินค้าและบริการต่าง ๆ ราคาแพงขึ้น ส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันเนื่องจากค่าครองชีพสูงขึ้น และหากมองไปในระยะยาวก็ต้องมีแผนเพิ่มจำนวนเงินเก็บเผื่อไว้สำหรับค่าครองชีพในอนาคตด้วย ซึ่งปัจจัยที่ทำให้เกิดเงินเฟ้อมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับสังคมในด้านอื่น ๆ โดยปัจจัยสำคัญที่ควรรู้ได้แก่
- การขาดแคลนทรัพยากร
ทรัพยากรในที่นี้รวมถึงปัจจัยการผลิตทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับระบบเศรษฐกิจ ทำให้กลไกของอุปสงค์และอุปทานไม่สมดุลกัน เมื่ออุปสงค์หรือความต้องการซื้อมีสูง แต่อุปทานหรือทรัพยากรที่ใช้ในการผลิตมีไม่เพียงพอ ทำให้สินค้าต่าง ๆ ต้องปรับราคาสูงขึ้น เช่น แรงงานที่ผลิตสินค้ามีไม่เพียงพอ วัตถุดิบบางชนิดหาได้ยากมากขึ้น ยิ่งในยุคที่สิ่งแวดล้อมเปลี่ยนแปลงจนส่งผลต่อสภาพดินฟ้าอากาศ ในระยะยาวก็จะทำให้ทรัพยากรธรรมชาติหายากมากขึ้น แล้วเงินเฟ้อก็จะมีอัตราสูงขึ้นเรื่อย ๆ ตามไปด้วย
- จำนวนเงินในระบบเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นอย่างมาก
เมื่อเศรษฐกิจถดถอยจะมีปรากฏการณ์ที่เรียกว่า สภาวะเงินฝืด ซึ่งเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับเงินเฟ้อนั่นเอง ภาครัฐมักมีนโยบายอัดฉีดเงินเข้าไปในระบบมากขึ้น หรือลดอัตราดอกเบี้ยลงเพื่อให้ประชาชนออกมาจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น จนเงินกลับเข้ามาหมุนเวียนในระบบจำนวนมาก ก็จะตรงตามหลักการที่ว่า หากอะไรมีมากและหาง่าย มูลค่าย่อมลดลง ไม่เหมือนกับของที่ยิ่งหายาก ก็จะยิ่งมีมูลค่ามาก เมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัวก็จะเข้าสู่ช่วงสภาวะเงินเฟ้ออีกครั้ง กลายเป็นกลไกที่เกิดขึ้นวนเวียนในเศรษฐกิจต่อไปเรื่อย ๆ
- เหตุการณ์ไม่คาดฝันต่าง ๆ ที่ทำให้เงินมูลค่าน้อยลง
สถานการณ์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นภาวะโรคระบาดครั้งใหญ่ สงคราม ไปจนถึงวิกฤตสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง เช่น ภัยแล้งหรือน้ำท่วมครั้งใหญ่ เหตุการณ์เหล่านี้จะส่งผลเป็นห่วงโซ่ต่อระบบเศรษฐกิจไปเรื่อย ๆ จนเกิดปัจจัยเงินเฟ้อตาม 2 ข้อแรกที่กล่าวมานั่นเอง
แล้วจะวางแผนทางการเงินอย่างไรเพื่อรับมือเงินเฟ้อได้บ้าง
อย่างที่กล่าวไปว่า เงินเฟ้อจะทำให้จำนวนเงินเท่าเดิมซื้อของได้น้อยลง การวางแผนการเงินด้วยการตั้งใจออมเงินไว้เพียงอย่างเดียว ไม่เพียงพออย่างแน่นอน เนื่องจากผลตอบแทนที่เราจะได้รับจากดอกเบี้ยเงินฝาก คงไม่พอสำหรับค่าใช้จ่ายจำเป็นในอนาคต เราจึงควรวางแผนการเงินด้วยการมองไปในระยะยาวอย่างรอบคอบ ดังนี้
- วางแผนออมเงินโดยเผื่ออัตราเงินเฟ้อ
แม้ผลตอบแทนจากดอกเบี้ยเงินออมจะไม่เพียงพอกับภาวะเงินเฟ้อ แต่การออมเงินเผื่อกรณีฉุกเฉินก็ยังเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับทุกคน อย่างเช่น ในปัจจุบันคุณคิดว่าคุณใช้เงินเดือนละ 30,000 ก็เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายที่จำเป็นแล้ว ให้คิดต่อเผื่ออัตราเงินเฟ้อ ซึ่งโดยเฉลี่ยมักจะเพิ่มขึ้น 3% ต่อปี เราจึงต้องคำนวณจำนวนเงินที่เราจะใช้ในอนาคตโดยมีอัตรา 3% นี้เข้าไปอยู่ในสูตรแผนการเงินของเราด้วย ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์การออมที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะการวางแผนเพื่อการเกษียณอายุ ซึ่งเป็นแผนการเงินระยะยาว จำเป็นต้องเผื่ออัตราเงินเฟ้อไว้ด้วยเสมอ
- วางแผนเรื่องหนี้สินอย่างรอบคอบ ไม่ก่อหนี้ดอกเบี้ยสูงโดยไม่จำเป็น
ทุกวันนี้การเป็นหนี้ไม่ใช่เรื่องไม่ดี บางครั้งการเป็นหนี้ก็เป็นไปเพื่อการลงทุน เช่น การกู้ยืมเพื่อลงทุนในธุรกิจ การกู้ยืมเพื่อที่อยู่อาศัย การกู้ยืมเพื่อการศึกษา เป็นต้น โดยเงินเฟ้อจะส่งผลต่ออัตราดอกเบี้ยของหนี้สินในอนาคต ก่อนสร้างหนี้จึงควรคำนวณอย่างรอบคอบ ต้องไม่ก่อหนี้เสียที่ไม่จำเป็น อย่างหนี้เพื่อการบริโภค หรือเพื่อซื้อสินค้าฟุ่มเฟือย เพราะจะส่งผลต่อจำนวนเงินที่เราต้องจ่ายคืนเจ้าหนี้ในอนาคต
- ศึกษาและวางแผนการลงทุน เพื่อให้ผลตอบแทนชนะอัตราเงินเฟ้อ
สิ่งที่สามารถทำให้เรามีความยั่งยืนทางการเงินได้คือการลงทุน เนื่องจากผลตอบแทนจากการลงทุน มักจะช่วยเพิ่มมูลค่าของเงินได้ตามอัตราเงินเฟ้อ หรือค่าครองชีพ โดยเฉพาะการลงทุนระยะยาวที่มักให้ผลตอบแทนชนะเงินเฟ้อได้ ในขณะเดียวกันก็ควรศึกษาการลงทุนให้ดีก่อน เนื่องจากการลงทุนทุกประเภทมีความเสี่ยง ควรเลือกลงทุนเฉพาะกับสินทรัพย์ที่คุณเข้าใจและยอมรับความเสี่ยงได้
เงินเฟ้อเป็นปัจจัยหนึ่งที่จำเป็นต้องนำเข้าไปอยู่ในการวางแผนการเงิน ไปจนถึงการวางแผนเพื่อการเกษียณ เพราะเราไม่รู้เลยว่า เมื่อเราเกษียณแล้วเงินเฟ้อจะมีอัตราอยู่ที่เท่าไร เงินจำนวนที่เราคิดว่าจะใช้หลังการเกษียณจะเพียงพอต่อค่าครองชีพในช่วงนั้นหรือเปล่า จึงต้องวางแผนการเงินให้รอบคอบโดยเผื่อปัจจัยเรื่องนี้เข้าไปด้วยนั่นเอง